เมื่อสิ้นปีใกล้เข้ามา การวางแผนลดหย่อนภาษีกลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับคนทำงานและผู้มีรายได้ประจำ โดยเฉพาะในยุคที่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น การเลือกลงทุนในกองทุนลดภาษีไม่เพียงช่วยประหยัดภาษีเท่านั้น แต่ยังสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้อีกด้วย

             จากข้อมูลของกรมสรรพากร ผู้มีรายได้ 500,000 บาทต่อปีขึ้นไป สามารถประหยัดภาษีได้ถึง 5-10% ของเงินลงทุน ปัจจุบันมีตัวเลือกใหม่คือกองทุนลดภาษี Thai ESG ที่ให้วงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม 300,000 บาท ทำให้รวมกับ RMF แล้วสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 800,000 บาท

             บทความนี้จะช่วยคุณเข้าใจความแตกต่างของกองทุนลดภาษีระหว่าง RMF และ Thai ESG เพื่อเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายและสถานการณ์ของคุณ

เปรียบเทียบกองทุนลดภาษีระหว่าง RMF vs Thai ESG อย่างครบถ้วน

ความแตกต่างหลักระหว่าง RMF และ Thai ESG

ระยะเวลาการลงทุน:

  • RMF: ถือจนถึงอายุ 55 ปี และซื้อครบ 5 ปีต่อเนื่องหรือปีเว้นปี
  • Thai ESG: ถือครอง 5 ปีแบบวันชนวัน ไม่บังคับซื้อทุกปี

วงเงินลดหย่อนภาษี:

  • RMF: สูงสุด 30% ของรายได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับประกันแบบบำนาญและ PVD)
  • Thai ESG: สูงสุด 30% ของรายได้แต่ไม่เกิน 300,000 บาท (วงเงินแยกต่างหาก)

สินทรัพย์ที่ลงทุนได้:

  • RMF: หลากหลายสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ
  • Thai ESG: เฉพาะหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่เข้าหลักเกณฑ์ ESG

ข้อดีและข้อควรระวังของแต่ละกองทุนลดภาษี

RMF - เหมาะสำหรับการเกษียณ:

  • ข้อดี: วงเงินสูง, หลากหลายการลงทุน, เหมาะกับการวางแผนเกษียณ
  • ข้อควรระวัง: ผูกมัดระยะยาว, ต้องซื้อต่อเนื่อง, ถอนยากก่อนเกษียณ

Thai ESG - ความยืดหยุ่นสูง:

  • ข้อดี: ถือแค่ 5 ปี, ไม่บังคับซื้อทุกปี, วงเงินแยกต่างหาก, สนับสนุนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
  • ข้อควรระวัง: จำกัดการลงทุนในประเทศไทย, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว

กลยุทธ์การเลือกลงทุนตามสถานการณ์

การเลือกลงทุนในกองทุนลดภาษีควรพิจารณา 5 ปัจจัยหลัก:

  1.อายุและระยะเวลาจนเกษียณ - หากอายุต่ำกว่า 45 ปี กองทุนลดภาษี Thai ESG อาจเหมาะสมกว่า

  2.เป้าหมายการเงิน - เพื่อเกษียณเลือก RMF, เพื่อความยืดหยุ่นเลือกกองทุนลดภาษี Thai ESG

  3.รายได้และฐานภาษี - รายได้สูงควรใช้สิทธิทั้งสองประเภท

  4.ความเสี่ยงที่รับได้ - กองทุนลดภาษี RMF กระจายความเสี่ยงได้มากกว่า

  5.ความต้องการสภาพคล่อง - Thai ESG ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า

ตัวอย่างการวางแผนลงทุนและกลุ่มเป้าหมาย

กรณีที่ 1: พนักงานวัย 28 ปี รายได้ 480,000 บาท/ปี

แนะนำ: Thai ESG เท่านั้น

  • ลงทุน: 144,000 บาท (30% ของรายได้)
  • ประหยัดภาษีได้: 9,500 บาท
  • เหตุผล: ยังหนุ่ม ต้องการความยืดหยุ่น ไม่ต้องผูกมัดระยะยาว

กรณีที่ 2: ผู้บริหารวัย 45 ปี รายได้ 1,200,000 บาท/ปี

แนะนำ: RMF + Thai ESG

  • RMF: 360,000 บาท
  • Thai ESG: 300,000 บาท (รวม 660,000 บาท)
  • ประหยัดภาษี: 70,500 บาท
  • เหตุผล: ใกล้เกษียณ รายได้สูง ควรใช้สิทธิให้เต็มที่
  • Thai ESG เหมาะกับใคร:
  • ผู้ที่อายุน้อยกว่า 45 ปี
  • ผู้ที่ใช้สิทธิ RMF เต็มแล้วแต่ต้องการลดภาษีเพิ่ม
  • ผู้ที่เชื่อมั่นในหุ้นไทยและธุรกิจยั่งยืน
  • ผู้ที่มีฐานภาษีสูง
  • ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องการผูกมัดระยะยาว

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ระยะเวลาถือครอง - ถอนก่อนกำหนดต้องคืนภาษีและอาจเสียค่าปรับ
  • วงเงินจำกัด - ต้องไม่เกิน 30% ของรายได้และวงเงินที่กำหนด
  • ความเสี่ยงการลงทุน - Thai ESG มีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในประเทศไทย
  • การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย - ควรติดตามข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

 

             การเลือกกองทุนลดภาษีระหว่าง RMF และ Thai ESG ขึ้นอยู่กับอายุ เป้าหมาย และความต้องการความยืดหยุ่น RMF เหมาะสำหรับการเกษียณระยะยาว ส่วน Thai ESG ให้ความยืดหยุ่นและเป็นโอกาสเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษี

             สำหรับผู้มีรายได้สูง การใช้สิทธิทั้งสองประเภทจะให้ประโยชน์สูงสุด โดยลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 800,000 บาท การวางแผนที่ดีควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจสถานการณ์ทางการเงินและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

             หากต้องการเริ่มต้นลงทุนในกองทุนลดภาษี Yuanta Securities มีแพลตฟอร์มและทีมที่ปรึกษาพร้อมให้คำแนะนำเพื่อช่วยวางแผนการลงทุนและลดหย่อนภาษีอย่างเหมาะสม

 

คำเตือน: บทความนี้ให้ข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ

Lead form.webp