หากคุณรู้สึกว่าเงินเดือนไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน คุณไม่ได้เป็นคนเดียว ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เฉลี่ย 2-3% ต่อปี ขณะที่การปรับเงินเดือนไม่ทันตาม ทำให้กำลังซื้อของเงินลดลง
ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่เงินเดือนไม่ได้เพิ่มตามสัดส่วน การลงทุนจึงกลายเป็นทางออกสำคัญในการสร้างรายได้เสริมและทำให้เงินงอกเงย แม้จะเริ่มต้นด้วยเงินน้อย การลงทุนที่ถูกต้องสามารถช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับคุณและครอบครัวได้ในระยะยาว
ทำไมเงินเดือนไม่พอใช้ในยุคปัจจุบัน
สาเหตุหลักที่เงินเดือนไม่เพียงพอ มาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ ที่เฉลี่ย 2-3% ต่อปี ทำให้กำลังซื้อของเงินลดลง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าที่อยู่อาศัย อาหาร และพลังงาน และ การไม่ปรับเงินเดือนให้สอดคล้องกับเงินเฟ้อ
เงิน 30,000 บาทในปี 2020 จะมีกำลังซื้อเทียบเท่า 27,500 บาทในปี 2025 หากไม่มีการเพิ่มรายได้ ดังนั้นการพึ่งพาเงินเดือนเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ ต้องหาทางสร้างรายได้เสริมผ่านการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
การลงทุนช่วยแก้ปัญหาเงินเดือนไม่พอได้อย่างไร
การลงทุนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เงินของคุณทำงานแทนคุณ โดยไม่ต้องลงแรงเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น หากคุณลงทุน 5,000 บาทต่อเดือนในกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทน 8% ต่อปี
ภายใน 10 ปี คุณจะมีเงินสะสม 917,000 บาท ขณะที่เงินที่ลงทุนไปจริงมีเพียง 600,000 บาท เงินส่วนเกิน 317,000 บาท นี้คือรายได้เสริมที่เกิดจากการลงทุน การลงทุนยังช่วยป้องกันเงินเฟ้อ และสร้างความมั่นคงทางการเงิน ระยะยาว ทำให้คุณสามารถรักษาและเพิ่มกำลังซื้อของเงินได้
5 ขั้นตอนเริ่มลงทุนให้เงินงอกเงย แม้เงินเดือนน้อย
ขั้นตอนที่ 1: ประเมินและจัดการเงินที่มีอยู่
ก่อนเริ่มลงทุน ต้องจัดระเบียบการเงินให้เรียบร้อยก่อน เริ่มจากการบันทึกรายรับ-รายจ่าย เพื่อหาเงินส่วนเกินที่สามารถนำมาลงทุนได้
กฎ 50/30/20 คือแนวทางที่ดี ใช้ 50% ของรายได้กับค่าใช้จ่ายจำเป็น 30% กับความบันเทิง และ 20% สำหรับการออมและลงทุน
ขั้นตอนที่ 2: สร้างเงินฉุกเฉินก่อนลงทุน
มีเงินฉุกเฉิน 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การตกงานหรือการเจ็บป่วย เงินส่วนนี้ควรเก็บในบัญชีออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำระยะสั้น
ขั้นตอนที่ 3: เลือกประเภทการลงทุนที่เหมาะสม
สำหรับมือใหม่ที่เงินเดือนไม่มาก แนะนำเริ่มจากกองทุนรวม ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง เช่น
- กองทุนรวมตราสารหนี้: ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทน 3-5% ต่อปี
- กองทุนรวมหุ้นปันผล: ความเสี่ยงปานกลาง ผลตอบแทน 6-8% ต่อปี
- กองทุนรวมดัชนี SET50: กระจายความเสี่ยง ผลตอบแทนตามตลาด
ขั้นตอนที่ 4: เริ่มลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging)
DCA คือการลงทุนเป็นงวดๆ ด้วยจำนวนเงินคงที่ เช่น 2,000 บาทต่อเดือน วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และเหมาะกับคนที่มีรายได้ประจำ
ขั้นตอนที่ 5: ติดตามและปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ
ทบทวนพอร์ตการลงทุนทุก 6 เดือน ปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของรายได้และเป้าหมาย เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ควรเพิ่มจำนวนเงินลงทุนตามสัดส่วน
ประเภทการลงทุนที่เหมาะกับคนเงินเดือนน้อย
1.การลงทุนในตราสารหนี้
การลงทุนในตราสารหนี้ เช่น ตั๋วเงินคลังหรือหุ้นกู้ระยะสั้น เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยของเงินต้น ผลตอบแทนอยู่ในรูปดอกเบี้ย ซึ่งโดยทั่วไปมีผลตอบแทนประมาณ 2-5% ต่อปี
- ข้อดี: ความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการรักษาเงินลงทุน
- ข้อเสีย: ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าการลงทุนอื่นๆ
2.การลงทุนในกองทุนรวม
กองทุนรวมเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับมือใหม่ เพราะมีความหลากหลายและบริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ
- กองทุนรวมตราสารหนี้: ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทน 3-5% ต่อปี
- กองทุนรวมหุ้นปันผล: ความเสี่ยงปานกลาง ผลตอบแทน 6-8% ต่อปี
- กองทุนรวมดัชนี SET50: กระจายความเสี่ยง ผลตอบแทนตามตลาด
3.การลงทุนในหุ้น
การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความผันผวนสูง แต่ให้ผลตอบแทนสูงเช่นกัน ผลตอบแทนเฉลี่ยจากตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 8-12% ต่อปี
สำหรับมือใหม่แนะนำเริ่มจากหุ้นปันผลที่มีความมั่นคงและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
4.การลงทุนใน DR (Depositary Receipt)
DR เป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วยกระจายความเสี่ยงไปยังเศรษฐกิจต่างประเทศและเพิ่มโอกาสผลตอบแทน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความหลากหลายในพอร์ตการลงทุน ซึ่งหากต้องการทราบว่า DR คืออะไร สามารถอ่านได้ที่ “ทำความรู้จัก DR คืออะไร? ดีอย่างไร?”
การเปรียบเทียบการลงทุนระยะสั้นและระยะยาว
ตัวอย่างสัดส่วนการลงทุนตามอายุ
อายุ 20-30 ปี: รับความเสี่ยงได้มาก
- 70% สินทรัพย์เสี่ยงสูง (หุ้น กองทุนรวมหุ้น)
- 30% สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ (ตราสารหนี้ เงินฝาก)
- เหตุผล: มีเวลาทำงานนานสามารถฟื้นตัวจากการขาดทุนได้
อายุ 30-40 ปี: รับความเสี่ยงปานกลาง
- 60% สินทรัพย์เสี่ยงสูง และ 40% สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ
- เหตุผล: เริ่มมีภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ต้องการความมั่นคงมากขึ้น
อายุ 40+ ปี: รับความเสี่ยงได้น้อย
- 40% สินทรัพย์เสี่ยงสูง และ 60% สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ
- เหตุผล: ใกล้เกษียณ ต้องการรักษาเงินลงทุนมากกว่าเสี่ยงขาดทุน
ตัวอย่างการเลือกระยะเวลาการลงทุนควรพิจารณาจากเป้าหมาย
- ลงทุนเพื่อซื้อรถ (3-5 ปี): เน้นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ
- ลงทุนเพื่อซื้อบ้าน (5-10 ปี): ผสมระหว่างเสี่ยงปานกลางและต่ำ
- ลงทุนเพื่อเกษียณ (15-30 ปี): เน้นสินทรัพย์เสี่ยงสูงในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ปรับลดความเสี่ยงเมื่อใกล้เป้าหมาย
กลยุทธ์การลงทุนสำหรับคนเงินเดือนน้อย
การลงทุนสำหรับคนที่มีรายได้จำกัดต้องใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เริ่มจากการลงทุนเป็นงวด เพียง 1,000-2,000 บาทต่อเดือน เลือกกองทุนรวมที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายกัดกินผลตอบแทน
ใช้ยุทธศาสตร์ 70/30 คือ 70% ลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ และ 30% ในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น หุ้น สำหรับคนอายุ 20-30 ปี
สามารถปรับเป็น 50/50 เพื่อเพิ่มโอกาสผลตอบแทนระยะยาว การใช้บริการบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาต เช่น Yuanta Securities จะช่วยให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมและเครื่องมือการลงทุนที่ทันสมัย
ความผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเงินลงทุนน้อย
เมื่อมีเงินลงทุนจำกัด การทำผิดพลาดจะส่งผลกระทบมาก ความผิดพลาด 5 ข้อที่ต้องหลีกเลี่ยง ได้แก่ การลงทุนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น การหวังผลกำไรเร็วและมาก การลงทุนในสินทรัพย์เดียว การซื้อขายบ่อยตามข่าวหรืออารมณ์ และการไม่ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
ทำไม Yuanta Securities เหมาะกับคนเงินเดือนน้อย
สำหรับคนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำกัด Yuanta Securities มีจุดเด่นที่โดดเด่น ได้แก่ ไม่มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชี และสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่หลักพันบาท
มีแพลตฟอร์ม AomWise ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับมือใหม่ ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย และมีฟีเจอร์ DCA อัตโนมัติ ที่เหมาะกับคนที่มีรายได้ประจำ รวมถึงการมีทีมที่ปรึกษาพร้อมให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับงบประมาณของแต่ละคน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: เงินเดือน 15,000 บาท ลงทุนได้ไหม?
A: ลงทุนได้แน่นอน แม้เงินเดือน 15,000 บาท หากสามารถประหยัดได้ 1,500-3,000 บาทต่อเดือน ก็สามารถเริ่มลงทุนในกองทุนรวมหรือหุ้นได้ สิ่งสำคัญคือต้องมีเงินฉุกเฉินก่อน และเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
Q: ลงทุนเท่าไรถึงจะเห็นผล?
A: การลงทุน 2,000 บาทต่อเดือนที่ผลตอบแทน 8% ใน 5 ปีจะได้เงินสะสมประมาณ 147,000 บาท เป็นกำไร 27,000 บาท ยิ่งลงทุนนาน ยิ่งเห็นผลชัดเจนจากดอกเบี้ยทบต้น สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอและความอดทน
Q: ถ้าขาดทุนต้องทำยังไง?
A: การขาดทุนระยะสั้นเป็นเรื่องปกติในการลงทุน สิ่งสำคัญคือไม่ตื่นตระหนกขายทิ้ง ต้องดูที่เป้าหมายระยะยาวและกลยุทธ์การลงทุน หากลงทุนแบบ DCA การขาดทุนชั่วคราวจะช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยลงได้
เงินเดือนไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นจุดเริ่มต้นสู่ความมั่งคั่ง เริ่มลงทุนวันนี้ด้วยเงินเพียงหลักพัน และดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะยาว สมัครบัญชีได้ฟรีที่ https://www.yuanta.co.th/ หรือดาวน์โหลดแอป AomWise เพื่อเริ่มต้นลงทุนแบบง่ายๆ
สามารถติดต่อขอคำปรึกษาฟรีจากทีมผู้เชี่ยวชาญ การลงทุน 2,000 บาทต่อเดือนวันนี้ จะกลายเป็นความมั่งคั่งหลักแสนในอนาคต อย่ารอให้สาย เพราะเวลาคือสิ่งที่ทรงคุณค่าที่สุดในการลงทุน