ในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารต่ำจนแทบไม่สามารถชนะเงินเฟ้อได้ การซื้อกองทุนจึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่า แต่ยังไม่พร้อมเสี่ยงกับการลงทุนในหุ้นโดยตรง

         ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ยังคงอยู่ที่ประมาณ 0.25-0.5% ต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 2-3% ซึ่งหมายความว่า การฝากเงินไว้กับธนาคารกำลังทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินลดลงทุกวัน

         บทความนี้จะพาคุณเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างการซื้อกองทุนกับการฝากเงิน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

1. กองทุนรวมคืออะไร และทำไมควรพิจารณาซื้อกองทุน

         กองทุนรวม (Mutual Fund) คือเครื่องมือลงทุนที่รวบรวมเงินจากนักลงทุนหลายคนมาบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพ โดยเงินลงทุนจะถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายการลงทุน

         เมื่อคุณซื้อกองทุน คุณจะได้รับหน่วยลงทุนที่แสดงสัดส่วนความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินของกองทุนนั้น มูลค่าของหน่วยลงทุน (NAV) จะเปลี่ยนแปลงตามมูลค่าของสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุน

กองทุนรวมมีหลายประเภทตามนโยบายการลงทุน

  • กองทุนตราสารหนี้ - ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ มีความเสี่ยงต่ำ
  • กองทุนตราสารทุน - ลงทุนในหุ้น มีความเสี่ยงสูงกว่าแต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า
  • กองทุนผสม - ลงทุนทั้งตราสารหนี้และตราสารทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง
  • กองทุน ETF - กองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น มักติดตามดัชนีตลาด
  • กองทุน RMF/Thai ESG - กองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

2. เปรียบเทียบผลตอบแทน การซื้อกองทุนให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

ผลตอบแทนจากการฝากเงิน

  • ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์: 0.25-0.5% ต่อปี
  • ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี: 1.0-1.5% ต่อปี
  • ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 ปี: 1.5-2.0% ต่อปี

ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของกองทุนประเภทต่างๆ

  • กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น: 1-2% ต่อปี
  • กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว: 2-4% ต่อปี
  • กองทุนผสม: 4-8% ต่อปี
  • กองทุนหุ้นในประเทศ: 5-12% ต่อปี
  • กองทุนหุ้นต่างประเทศ: 7-15% ต่อปี

ตัวอย่างการเปรียบเทียบ: หากคุณมีเงิน 100,000 บาท และลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี:

  • ฝากเงินที่ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี: เงินจะเติบโตเป็น 116,136 บาท
  • ซื้อกองทุนผสมที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6% ต่อปี: เงินจะเติบโตเป็น 179,085 บาท
  • ซื้อกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี: เงินจะเติบโตเป็น 259,374 บาท

         ความแตกต่างของผลตอบแทนจะยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อระยะเวลาลงทุนยาวนานขึ้น เนื่องจากพลังของดอกเบี้ยทบต้น

3. เปรียบเทียบความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยงในการซื้อกองทุน

ข้อดีและความเสี่ยงของการฝากเงิน

  • ความเสี่ยงต่ำมาก มีสถาบันคุ้มครองเงินฝากคุ้มครองสูงสุดถึง 1 ล้านบาทต่อบัญชี
  • ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอาจต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ

ความเสี่ยงของการซื้อกองทุน

  • กองทุนตราสารหนี้: มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง
  • กองทุนผสม: มีความเสี่ยงปานกลาง
  • กองทุนตราสารทุน: มีความเสี่ยงสูง มูลค่าอาจผันผวนตามตลาดหุ้น

         การซื้อกองทุนมีข้อดีในแง่ของการกระจายความเสี่ยง เนื่องจากเงินของคุณถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทหรือบริษัทจำนวนมาก

คุณสามารถบริหารความเสี่ยงจากการซื้อกองทุนได้ด้วยการ

1.เลือกกองทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

2.ลงทุนในระยะยาว - ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น

3.ลงทุนแบบ DCA - การทยอยลงทุนสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงจากการจังหวะเวลาการลงทุน

4. เปรียบเทียบความยืดหยุ่น การซื้อกองทุนมีความยืดหยุ่นมากกว่า

ความยืดหยุ่นของการฝากเงิน

  • เงินฝากออมทรัพย์: ถอนได้ตลอดเวลา แต่ดอกเบี้ยต่ำ
  • เงินฝากประจำ: ดอกเบี้ยสูงกว่า แต่ถ้าถอนก่อนกำหนดจะได้ดอกเบี้ยน้อยลงหรือไม่ได้เลย

ความยืดหยุ่นของการซื้อกองทุน

  • ซื้อขายได้ทุกวันทำการสำหรับกองทุนเปิดทั่วไป
  • สามารถซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • ปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตามสถานการณ์ตลาดและเป้าหมายทางการเงิน
  • มีทางเลือกในการลงทุนหลากหลายรูปแบบในที่เดียว

         การซื้อกองทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือการทยอยลงทุนสม่ำเสมอ ช่วยสร้างวินัยในการลงทุนและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด

         AomWise แอปพลิเคชันนี้รองรับการลงทุนแบบ DCA ทั้งรายเดือนและรายสัปดาห์ โดยสามารถตั้งค่าให้ซื้อกองทุนอัตโนมัติได้สูงสุดถึง 60 เดือนหรือ 60 สัปดาห์

5. เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ทางภาษี การซื้อกองทุนช่วยประหยัดภาษี

การฝากเงินในธนาคาร

  • มีภาระภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก 15% (ยกเว้นดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี)
  • ไม่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่น

การซื้อกองทุน RMF (Retirement Mutual Fund)

  • นำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (รวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและประกันบำนาญ)
  • ต้องลงทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และถือไว้จนอายุครบ 55 ปี โดยต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี

การซื้อกองทุน Thai ESG

  • นำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
  • ต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 5 ปีปฏิทินนับจากวันที่ซื้อ
  • ลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ไทยที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)

         ตัวอย่าง: หากคุณมีรายได้ 90,000 บาทต่อเดือน (1,080,000 บาทต่อปี) และลงทุนในกองทุน RMF และ Thai ESG รวม 300,000 บาท คุณจะสามารถประหยัดภาษีได้ประมาณ 60,000 บาท (คำนวณจากอัตราภาษี 20%)

6. เริ่มต้นซื้อกองทุนอย่างไร

1.เปิดบัญชีกับแอปพลิเคชันลงทุน

  • AomWise เป็นแอปพลิเคชันที่เหมาะสำหรับมือใหม่ เปิดบัญชีง่ายผ่าน 5 ขั้นตอน อนุมัติภายใน 15 นาที
  • Yuanta NAVI เป็นอีกทางเลือกที่มีเครื่องมือวิเคราะห์และข้อมูลที่ครบครัน

2.ทำแบบประเมินความเสี่ยง - ช่วยให้คุณเลือกกองทุนที่เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

3.เติมเงินเข้าบัญชี - โอนผ่าน QR Code หรือตัด ATS จากบัญชีธนาคาร

4.เลือกกองทุนที่เหมาะสม - พิจารณาจากระดับความเสี่ยง เป้าหมายทางการเงิน ผลการดำเนินงานย้อนหลังและค่าธรรมเนียม

5.เลือกวิธีการลงทุน - จะลงทุนแบบครั้งเดียวหรือแบบ DCA ก็ได้ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยและทยอยสะสมสินทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่อง

ทำไมควรพิจารณาซื้อกองทุนและวิธีจัดสรรเงินลงทุนอย่างสมดุล

จากการเปรียบเทียบ 5 ข้อสำคัญระหว่างการซื้อกองทุนกับการฝากเงิน สรุปได้ว่า

  1.ผลตอบแทน: การซื้อกองทุนให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินโดยเฉพาะในระยะยาว

  2.ความเสี่ยง: การซื้อกองทุนมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่สามารถบริหารจัดการได้

  3.ความยืดหยุ่น: การซื้อกองทุนมีความยืดหยุ่นมากกว่า สามารถซื้อขายได้ง่ายและปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตามสถานการณ์

  4.สิทธิประโยชน์ทางภาษี: การซื้อกองทุนบางประเภทให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่การฝากเงินไม่มี

  5.ความสะดวก: ปัจจุบันการซื้อกองทุนทำได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือเหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ทำให้จัดสรรเงินออมได้อย่างเหมาะสม

  • เก็บเงินสำรองฉุกเฉินในบัญชีเงินฝากประมาณ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
  • ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นสำหรับเป้าหมายระยะสั้น (1-3 ปี)
  • ลงทุนในกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้นสำหรับเป้าหมายระยะกลางถึงระยะยาว (3 ปีขึ้นไป)
  • ลงทุนในกองทุน RMF หรือ Thai ESG เพื่อประหยัดภาษี เพื่อการเกษียณและสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน

                การซื้อกองทุนอาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำไม่สามารถชนะเงินเฟ้อได้
ed202ad1-12f6-43cb-bc22-5deb7f703767.webp